พิลาทิสกับการแก้ออฟฟิศซินโดรม

พิลาทิสกับการแก้ออฟฟิศซินโดรม 

 

Table of Contents

สถิติปัญหาออฟฟิศซินโดรมในคนทำงานไทย

ปัจจุบันคนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่มาจากการทำงานออฟฟิศ จากการสำรวจของ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (2566) พบว่าคนทำงานออฟฟิศกว่า 80% มีอาการของออฟฟิศซินโดรม โดยเฉพาะในช่วงอายุ 25-45 ปี การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานส่งผลให้เกิดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลัง ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงในระยะยาว

อาการที่พบบ่อยที่สุด

จากการศึกษาของ สถาบันโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม (2565) พบว่าคนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่มักมีอาการปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง นอกจากนี้ยังพบอาการอื่นๆ เช่น ปวดศีรษะ ตาล้า และอาการชาตามแขนขา ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพชีวิต

พิลาทิส คืออะไร และทำไมถึงช่วยแก้ออฟฟิศซินโดรมได้

พิลาทิส หรือที่หลายคนอาจเรียกว่า พิลาทีส พีลาทิส หรือ Pilates เป็นการออกกำลังกายที่พัฒนาขึ้นโดย Joseph Pilates ซึ่งเน้นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการควบคุมลมหายใจ การออกกำลังกายพิลาทิสช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ปรับปรุงความยืดหยุ่น และพัฒนาการทรงตัว ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการแก้ไขปัญหาออฟฟิศซินโดรม

การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะปัญหาที่เรียกว่าออฟฟิศซินโดรม ซึ่งจากการศึกษาของ Journal of Physical Therapy Science (2023) พบว่าการออกกำลังกายแบบพิลาทิสสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการทำงานออฟฟิศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลาง

พิลาทิสช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรองรับกระดูกสันหลังและการทรงตัว เมื่อกล้ามเนื้อส่วนนี้แข็งแรง จะช่วยลดแรงกดทับที่เกิดจากการนั่งนานๆ และป้องกันอาการปวดหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้การทรงท่าดีขึ้น ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อที่ไม่จำเป็น ทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้นแม้ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน

การแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด

จากการวิจัยของ Clinical Biomechanics Journal (2024) พบว่าการฝึกพิลาทิสอย่างสม่ำเสมอช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่หดสั้นจากการนั่งทำงาน โดยเฉพาะบริเวณสะโพก ต้นขา และหลังส่วนล่าง การฝึกยังช่วยจัดวางกระดูกสันหลังให้อยู่ในแนวที่ถูกต้อง เสริมสร้างความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อรอบๆ คอ บ่า ไหล่ ที่มักตึงเครียดจากการจ้องหน้าจอ

การควบคุมการหายใจและการผ่อนคลาย

เอกลักษณ์สำคัญของพิลาทิสคือการผสมผสานการหายใจเข้ากับการเคลื่อนไหว การฝึกหายใจอย่างถูกวิธีช่วยเพิ่มออกซิเจนให้กล้ามเนื้อ ลดความตึงเครียด และช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ตามการศึกษาของ International Journal of Environmental Research and Public Health (2023) พบว่าการหายใจแบบพิลาทิสช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศได้อย่างมีนัยสำคัญ

การปรับสมดุลร่างกายและผลลัพธ์ระยะยาว

พิลาทิสช่วยแก้ไขความไม่สมดุลของร่างกายที่เกิดจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เมาส์หรือการนั่งในท่าเดิมนานๆ การฝึกอย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่ตึงตัว นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด และลดอาการชาตามแขนขา ที่สำคัญ การฝึกพิลาทิสสามารถทำได้ในพื้นที่จำกัด เหมาะกับสภาพแวดล้อมออฟฟิศ และสามารถปรับความเข้มข้นของการฝึกได้ตามความพร้อมของร่างกาย

พิลาทิสมีกี่ประเภท

1. พิลาทิสแบบใช้เสื่อ (Mat Pilates)

พิลาทิสแบบใช้เสื่อเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ฝึกใหม่ ใช้เพียงเสื่อและน้ำหนักตัวในการฝึก ท่าพื้นฐานทั้งหมดถูกออกแบบมาให้ทำบนเสื่อ ตั้งแต่ท่า The Hundred ไปจนถึง Roll Up โดยเน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวและการหายใจ เหมาะสำหรับการฝึกที่บ้านหรือที่ทำงาน เพราะใช้พื้นที่น้อยและไม่ต้องลงทุนมาก

2. พิลาทิสแบบใช้อุปกรณ์ (Equipment-based Pilates)

รูปแบบนี้ใช้อุปกรณ์เฉพาะทางที่ออกแบบมาสำหรับการฝึกพิลาทิสโดยเฉพาะ แบ่งเป็น

Reformer Pilates

  • ใช้เครื่อง Reformer ที่มีรางเลื่อนและสปริง
  • เพิ่มแรงต้านในการฝึก ทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้น
  • ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวให้แม่นยำ
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความท้าทายและความแข็งแรง

Cadillac Pilates

  • ใช้อุปกรณ์คล้ายเตียงที่มีโครงเหล็กล้อมรอบ
  • เน้นการฝึกแบบแขวนตัว ช่วยในการยืดเหยียดและเพิ่มความยืดหยุ่น
  • เหมาะสำหรับการฟื้นฟูและการบำบัด
  • ช่วยพัฒนาการทรงตัวและความมั่นคงของร่างกาย

3. พิลาทิสแบบใช้อุปกรณ์เสริม (Props Pilates)

เป็นการผสมผสานระหว่างการฝึกบนเสื่อกับการใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น

Magic Circle (ห่วงพิลาทิส)

  • เน้นการเพิ่มแรงต้านในท่าต่างๆ
  • ช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นแขน ต้นขา และหน้าอก
  • เหมาะสำหรับการฝึกที่บ้าน
  • ราคาไม่แพงและพกพาสะดวก

Stability Ball

  • ช่วยพัฒนาการทรงตัวและความมั่นคง
  • เพิ่มความท้าทายในการควบคุมการเคลื่อนไหว
  • ช่วยในการยืดเหยียดและเสริมความแข็งแรง
  • เหมาะสำหรับการฝึกกล้ามเนื้อแกนกลาง

4. พิลาทิสแบบผสมผสาน (Contemporary Pilates)

เป็นการนำหลักการพิลาทิสมาผสมผสานกับศาสตร์การออกกำลังกายอื่นๆ เช่น

Yogalates

  • ผสมผสานระหว่างโยคะและพิลาทิส
  • เน้นทั้งความแข็งแรงและความยืดหยุ่น
  • มีการฝึกสมาธิและการหายใจเข้มข้นขึ้น
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ

5. พิลาทิสเพื่อการบำบัด (Clinical Pilates)

รูปแบบที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการฟื้นฟูและบำบัด

  • ใช้ในคลินิกกายภาพบำบัด
  • มีการปรับท่าให้เหมาะกับอาการบาดเจ็บแต่ละประเภท
  • เน้นการฟื้นฟูอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • มีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

พิลาทิสช่วยอะไรได้บ้าง?

1. การลดพุงและกระชับสัดส่วน

การฝึกพิลาทิสช่วยลดพุงและกระชับสัดส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่มักมีปัญหาไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องและต้นขา ตามการศึกษาของ Journal of Sports Science and Medicine (2023) พบว่าการฝึกพิลาทิส 3 ครั้งต่อสัปดาห์ช่วยลดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากพิลาทิสเน้นการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลางและการเผาผลาญพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

2. การปรับปรุงบุคลิกภาพและท่าทาง

พิลาทิสช่วยแก้ไขปัญหาท่าทางที่ไม่ถูกต้องจากการทำงานออฟฟิศ เช่น หลังค่อม ไหล่ห่อ หรือคอยื่น การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ช่วยพยุงกระดูกสันหลัง ทำให้การทรงตัวดีขึ้น และสามารถรักษาท่าทางที่ถูกต้องได้แม้ในระหว่างการทำงาน

3. การเพิ่มความยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหว

การฝึกพิลาทิสช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ทำให้การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันคล่องแคล่วขึ้น ท่าต่างๆ ในพิลาทิสออกแบบมาเพื่อยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่หดสั้นจากการนั่งนานๆ และเสริมสร้างความแข็งแรงไปพร้อมกัน ส่งผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้น

4. การผ่อนคลายความเครียดและเพิ่มสมาธิ

นอกจากประโยชน์ทางกายภาพ พิลาทิสยังช่วยลดความเครียดและเพิ่มสมาธิในการทำงาน การจดจ่อกับการเคลื่อนไหวและการหายใจที่ถูกต้องช่วยให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย และมีสติมากขึ้น ส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการทำงานโดยรวม

5. ความยืดหยุ่นในการฝึกและการประยุกต์ใช้

ข้อดีที่สำคัญของพิลาทิสคือสามารถฝึกได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน เพียงแค่มีพื้นที่เล็กๆ และอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเสื่อโยคะหรือห่วงพิลาทิส คุณก็สามารถเริ่มต้นการฝึกได้ทันที การฝึกยังสามารถปรับระดับความเข้มข้นให้เหมาะกับความพร้อมของร่างกายได้ ทำให้เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ที่มีประสบการณ์

พิลาทิสต่างจากโยคะอย่างไร?

1. จุดประสงค์และแนวคิดหลัก

พิลาทิสและโยคะมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โยคะเป็นศาสตร์โบราณจากอินเดียที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงร่างกายและจิตใจ รวมถึงมีรากฐานทางจิตวิญญาณ มีการฝึกสมาธิ และการหายใจที่ลึกซึ้ง การฝึกโยคะจึงไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่เป็นการพัฒนาตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ในขณะที่พิลาทิสถูกพัฒนาขึ้นในยุคใหม่โดย Joseph Pilates เพื่อเป็นระบบการออกกำลังกายที่มีเป้าหมายชัดเจนในการฟื้นฟูร่างกายและเสริมสร้างความแข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การเคลื่อนไหวในพิลาทิสจึงมีความแม่นยำและเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่า เน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ และการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ

2. รูปแบบการเคลื่อนไหวและการหายใจ

พิลาทิสเน้นการเคลื่อนไหวที่ควบคุมได้และมีความแม่นยำสูง โดยแต่ละท่าจะมีจังหวะการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน ไม่มีการคงท่านาน แต่จะเน้นการเคลื่อนไหวต่อเนื่องที่สัมพันธ์กับการหายใจ เช่น ท่า The Hundred ที่ต้องสะบัดแขนพร้อมหายใจเป็นจังหวะ หรือท่า Rolling Like a Ball ที่ต้องม้วนตัวไปมาอย่างควบคุม

ส่วนโยคะจะเน้นการคงท่า (Asanas) เป็นเวลานาน บางท่าอาจต้องค้างไว้หลายนาที เพื่อให้ร่างกายได้ยืดเหยียดอย่างเต็มที่ และจิตใจได้จดจ่อกับลมหายใจ การหายใจในโยคะมักจะลึกและช้ากว่า มีเทคนิคการหายใจ (Pranayama) ที่หลากหลาย แต่ละแบบมีจุดประสงค์ต่างกัน

3. การทำงานของกล้ามเนื้อและการพัฒนาร่างกาย

พิลาทิสเน้นการพัฒนากล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) อย่างเป็นระบบ ทุกท่าจะมีการเกร็งหน้าท้องและกล้ามเนื้อพื้นเชิงกราน การเคลื่อนไหวมักเริ่มจากจุดศูนย์กลางของร่างกายแล้วค่อยๆ กระจายออกไป เช่น ท่า Roll Up ที่ต้องม้วนตัวขึ้นทีละส่วนโดยใช้แรงจากกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นหลัก

โยคะนั้นเน้นการพัฒนาร่างกายแบบองค์รวม ไม่ได้มุ่งเน้นกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งโดยเฉพาะ บางท่าอาจเน้นการยืดเหยียด บางท่าเน้นความแข็งแรง หรือการทรงตัว การฝึกโยคะจึงพัฒนาร่างกายในหลายด้านพร้อมกัน เช่น ท่า Warrior ที่ต้องใช้ทั้งความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการทรงตัวไปพร้อมกัน

4. อุปกรณ์และสภาพแวดล้อมในการฝึก

พิลาทิสมีอุปกรณ์เฉพาะที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึก เช่น Reformer Machine, Cadillac, ห่วงพิลาทิส หรือลูกบอลออกกำลังกาย แต่ละอุปกรณ์มีจุดประสงค์เฉพาะในการช่วยพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แม้จะสามารถฝึกพิลาทิสโดยใช้เพียงเสื่อได้ แต่การใช้อุปกรณ์เสริมจะช่วยเพิ่มความท้าทายและประสิทธิภาพในการฝึก

ในขณะที่โยคะแบบดั้งเดิมใช้เพียงเสื่อโยคะเป็นหลัก แม้ในปัจจุบันจะมีอุปกรณ์เสริมเช่น บล็อกโยคะ สายรัด หรือผ้า แต่อุปกรณ์เหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยให้ผู้ฝึกสามารถเข้าถึงท่าต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ได้มีไว้เพื่อเพิ่มความท้าทายหรือแรงต้านเหมือนในพิลาทิส บรรยากาศการฝึกโยคะมักเงียบสงบ เน้นการรับรู้ลมหายใจและความรู้สึกภายใน

5. ความเหมาะสมสำหรับการแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม

พิลาทิสถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าสำหรับการแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรมโดยเฉพาะ ด้วยการออกแบบท่าทางที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาการทรงท่าที่ไม่ถูกต้อง การเคลื่อนไหวในพิลาทิสช่วยปรับสมดุลกล้ามเนื้อที่อ่อนแอจากการนั่งนานๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าท้อง หลัง และสะโพก ที่มักเป็นจุดอ่อนในคนทำงานออฟฟิศ

ท่าต่างๆ ในพิลาทิสสามารถทำได้ในพื้นที่จำกัด และปรับให้เข้ากับช่วงเวลาพักสั้นๆ ระหว่างวัน เช่น ท่า Cat Stretch หรือ Spine Twist ที่สามารถทำได้แม้ในพื้นที่ออฟฟิศ นอกจากนี้ การเน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำยังช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกายหรือมีอาการปวดเมื่อยอยู่แล้ว

ในขณะที่โยคะ แม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ แต่บางท่าอาจต้องใช้ความยืดหยุ่นสูงหรือการทรงตัวที่ดี ซึ่งอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยจากออฟฟิศซินโดรม การคงท่านานๆ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้หากทำไม่ถูกต้อง พิลาทิสจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและตรงจุดมากกว่าสำหรับการแก้ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการทำงานออฟฟิศโดยเฉพาะ


10 ท่าพิลาทิสบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม

การออกกำลังกายพิลาทิสสามารถทำได้หลากหลายท่า แต่สำหรับคนทำงานออฟฟิศ มี 5 ท่าพื้นฐานที่ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถฝึกพิลาทิสด้วยตนเองได้ที่บ้านหรือที่ทำงาน

ท่าพิลาทิส ท่า The Hundred

1.ท่าพิลาทิส The Hundred (พิลาทิสช่วยแก้อาการปวดหลัง)

วิธีทำ

  1. นอนหงายบนเสื่อพิลาทิส งอเข่า 90 องศา
  2. ยกไหล่ขึ้นจากพื้น พร้อมเหยียดแขนขนานลำตัว
  3. ยกขาขึ้น ทำมุม 45 องศา
  4. สะบัดแขนขึ้นลงเบาๆ พร้อมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ

เคล็ดลับการทำท่า การเกร็งหน้าท้องตลอดการทำท่าจะช่วยให้การเล่นพิลาทิสมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรทำซ้ำ 100 ครั้งหรือนานประมาณ 1-2 นาที

ท่าเล่นพิลาทิส ท่า Shoulder Bridge

2.ท่า Shoulder Bridge (พิลาทิสช่วยแก้อาการปวดบ่าไหล่)

วิธีทำ

  1. นอนหงาย วางเท้าราบกับพื้น งอเข่า
  2. ยกสะโพกขึ้นช้าๆ ให้กระดูกสันหลังลอยจากพื้นทีละข้อ
  3. เกร็งกล้ามเนื้อก้นและต้นขา ยกสะโพกให้สูงขึ้น
  4. ค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วค่อยๆ ลดสะโพกลง

เคล็ดลับการทำท่า การเล่นพิลาทิสท่านี้ควรเกร็งก้นตลอดการยกสะโพก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง

ท่าพิลาทิส ท่า Cat Stretch

3.ท่าพิลาทิส Cat Stretch (พิลาทิสช่วยแก้อาการปวดคอ)

วิธีทำ

  1. คุกเข่า วางมือลงบนเสื่อพิลาทิส
  2. หายใจเข้า แอ่นหลัง เงยหน้าขึ้น
  3. หายใจออก โก่งหลัง ก้มหน้าลง
  4. ทำซ้ำ 8-10 ครั้ง เน้นการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล

เคล็ดลับ การออกกำลังกายพิลาทิสท่านี้ควรทำอย่างช้าๆ ให้ความสำคัญกับการหายใจและการรู้สึกถึงการยืดเหยียดของกล้ามเนื้อ

ท่าพิลาทิส ท่า Spine Twist

4.ท่าพิลาทิส Spine Twist (พิลาทิสช่วยแก้อาการปวดไหล่)

วิธีทำ

  1. นั่งหลังตรง เหยียดขาไปด้านหน้า
  2. ยกแขนขึ้นระดับไหล่
  3. หมุนลำตัวไปด้านข้าง โดยเริ่มจากการหมุนช่วงเอว
  4. ค้างไว้ 3 วินาที แล้วหมุนกลับ ทำสลับซ้ายขวา

เคล็ดลับ การฝึกพิลาทิสท่านี้จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อหลังและเอว ควรหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ

5.ท่าพิลาทิส Swan Dive (พิลาทิสช่วยแก้อาการปวดต้นคอ)

วิธีทำ

  1. นอนคว่ำ วางมือไว้ข้างลำตัว
  2. ยกหน้าอกขึ้น แอ่นหลังเล็กน้อย
  3. ยืดแขนตรง ยกลำตัวส่วนบนขึ้น
  4. ค้างไว้ 5 วินาที แล้วค่อยๆ ลดตัวลง

เคล็ดลับ สำหรับผู้เริ่มต้นเล่นพิลาทิส ควรยกตัวขึ้นแค่พอรู้สึกสบาย ไม่ฝืนจนเกินไป เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ

ท่าที่ 6 – Roll Up (พิลาทิสช่วยแก้อาการปวดหลังส่วนล่าง)

วิธีทำ

  1. นอนหงาย เหยียดแขนขึ้นเหนือศีรษะ ขาเหยียดตรง
  2. หายใจเข้า เตรียมตัว
  3. หายใจออก ค่อยๆ ม้วนตัวขึ้นมา โดยเริ่มจากการยกศีรษะ คอ ไหล่ และหลัง
  4. เอื้อมมือไปแตะปลายเท้า
  5. ค่อยๆ ม้วนตัวกลับลงทีละส่วน กลับสู่ท่าเริ่มต้น

เคล็ดลับ

  • ควรเกร็งหน้าท้องตลอดการเคลื่อนไหว
  • ทำช้าๆ และควบคุมการเคลื่อนไหวให้นุ่มนวล
  • เริ่มต้นทำ 5-8 ครั้ง

ท่าที่ 7 – Single Leg Circle (พิลาทิสช่วยแก้อาการชาขาและปวดสะโพก)

วิธีทำ

  1. นอนหงายราบกับพื้น แขนวางข้างลำตัว ฝ่ามือคว่ำ
  2. ยกขาข้างหนึ่งขึ้นตรงๆ ทำมุม 90 องศา ขาอีกข้างเหยียดราบกับพื้น
  3. ใช้ขาที่ยกวาดเป็นวงกลมในอากาศ โดยเริ่มจากด้านนอกเข้าด้านใน
  4. ทำวงกลม 5 รอบ แล้วเปลี่ยนทิศทางจากด้านในออกด้านนอก 5 รอบ
  5. สลับทำอีกข้าง ทำซ้ำข้างละ 5-8 ครั้ง

เคล็ดลับ

  1. พยายามรักษาสะโพกให้นิ่งไม่ยกขึ้นจากพื้น
  2. ควบคุมการเคลื่อนไหวให้นุ่มนวลและสม่ำเสมอ
  3. หายใจเข้าขณะวาดวงกลมครึ่งวง และหายใจออกอีกครึ่งวงที่เหลือ

 

ท่าที่ 8 – Swimming (พิลาทิสช่วยแก้อาการปวดหลังส่วนบนและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง)

วิธีทำ

  1. นอนคว่ำราบกับพื้น แขนเหยียดไปด้านหน้า ขาเหยียดตรง
  2. ยกแขนและขาขึ้นจากพื้นเล็กน้อย (ประมาณ 2-3 นิ้ว)
  3. สลับยกแขนซ้าย-ขาขวา และแขนขวา-ขาซ้าย ขึ้นลงสลับกัน
  4. เคลื่อนไหวเหมือนการว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์แบบช้าๆ
  5. ทำต่อเนื่อง 20-30 วินาที หรือนับ 1 เซ็ต เท่ากับ 8-10 ครั้งของการสลับแขนขา

เคล็ดลับ

  1. รักษาคอให้อยู่ในแนวตรง ไม่เงยหน้าขึ้นมากเกินไป
  2. เกร็งกล้ามเนื้อท้องเพื่อป้องกันการแอ่นหลังมากเกินไป
  3. หายใจให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไม่กลั้นหายใจ

ท่าที่ 9 – Side Plank with Leg Lift (พิลาทิสช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อข้างลำตัวและสะโพก)

วิธีทำ

  1. นอนตะแคงข้าง ศอกวางกับพื้นใต้ไหล่ ขาเหยียดตรงซ้อนกัน
  2. ยกสะโพกขึ้นให้ลำตัวตรงเป็นแนวเดียวกัน สร้างท่า Side Plank
  3. ยกขาบนขึ้นประมาณ 45 องศา ช้าๆ
  4. ค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วลดขาลงช้าๆ
  5. ทำซ้ำข้างละ 8-10 ครั้ง

เคล็ดลับ

  1. รักษาลำตัวให้นิ่ง ไม่โยกไปมาขณะยกขา
  2. เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพกตลอดการทำท่า
  3. หายใจสม่ำเสมอ หายใจเข้าตอนยกขา หายใจออกตอนลดขา

ท่าที่ 10 – Diamond Press (พิลาทิสช่วยแก้อาการปวดบ่าและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขน)

วิธีทำ

  1. นั่งตัวตรง ขาไขว้หรือนั่งขัดสมาธิ
  2. ประกบมือเป็นรูปเพชรหรือสามเหลี่ยมหน้าอก (นิ้วโป้งและนิ้วชี้ชนกัน)
  3. หายใจเข้า กดมือเข้าหากันเบาๆ ค้างไว้ 3 วินาที
  4. หายใจออก ผ่อนแรงกด แต่ยังคงรูปมือเพชรไว้
  5. ทำซ้ำ 10-12 ครั้ง

เคล็ดลับ

  1. รักษาหลังให้ตรง ไม่ห่อไหล่
  2. ไม่ต้องกดแรงเกินไป เน้นการควบคุมและรู้สึกถึงการทำงานของกล้ามเนื้อ
  3. สามารถทำท่านี้ได้แม้ขณะนั่งทำงานที่โต๊ะ

อุปกรณ์พิลาทิสที่เหมาะกับการฝึกในออฟฟิศ

การฝึกพิลาทิสในออฟฟิศไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มาก แต่การมีอุปกรณ์พิลาทิสพื้นฐานบางชิ้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกได้ดียิ่งขึ้น

อุปกรณ์พิลาทิสพื้นฐานที่ควรมี

เสื่อพิลาทิสคือสิ่งจำเป็นอันดับแรกสำหรับการเล่นพิลาทิส นอกจากนี้ ห่วงพิลาทิส หรือ พิลาทิสริง ก็เป็นตัวช่วยที่ดีในการลดต้นขา และลดพุง สำหรับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น อาจพิจารณาอุปกรณ์พิลาทิสเพิ่มเติม เช่น ยางยืด หรือบอลออกกำลังกาย

ข้อควรระวังในการเล่นพิลาทิสสำหรับคนทำงานออฟฟิศ

การออกกำลังกายแบบพิลาทิส แม้จะเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัย แต่ก็ควรระมัดระวังในบางประเด็น ตามคำแนะนำของสมาคมเวชศาสตร์ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย (2566) ดังนี้

  • ควรเริ่มจากท่าพื้นฐานก่อนเสมอ แม้ว่าคุณจะเคยออกกำลังกายแบบอื่นมาก่อน เพราะการเล่นพิลาทิสมีเทคนิคเฉพาะที่ต้องทำความเข้าใจ
  • ควรเริ่มจากการฝึกพิลาทิสด้วยตนเองในท่าง่ายๆ ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่การใช้อุปกรณ์พิลาทิสขั้นสูงอย่าง Reformer Pilates หรือพิลาทิสรีฟอร์เมอร์
  • หากรู้สึกปวดหรือไม่สบายตัวระหว่างการฝึก ควรหยุดทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

การออกกำลังกายพิลาทิสเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ดี

การปรับตารางฝึกให้เข้ากับชีวิตออฟฟิศ

ผมขอแนะนำตารางการฝึกพิลาทิสที่เหมาะกับชีวิตออฟฟิศ ซึ่งคุณสามารถปรับให้เข้ากับตารางงานของคุณได้:

เวลา กิจกรรมพิลาทิส ระยะเวลา
9:00 ท่า Cat Stretch (ยืดเหยียดเริ่มต้นวัน) 5-10 นาที
11:00 ท่า Spine Twist (ระหว่างพักเบรก) 3-5 นาที
13:00 ท่า The Hundred (หลังอาหารกลางวัน) 5-7 นาที
15:00 ท่า Shoulder Bridge (บรรเทาอาการปวด) 5-7 นาที
17:00 ท่า Swan Dive (ก่อนกลับบ้าน) 5-7 นาที

เคล็ดลับการจัดตารางฝึก

  • เริ่มจากท่าง่ายๆ ในช่วงเช้า
  • เล่นพิลาทิสระหว่างพักเบรก
  • แบ่งเวลาฝึกเป็นช่วงสั้นๆ
  • เลือกท่าที่เหมาะกับพื้นที่ทำงาน

คำถามที่พบบ่อยกับการเล่นพิลาทิสแก้ออฟฟิศซินโดรม

Q: “พิลาทิสคืออะไร แล้วช่วยอาการออฟฟิศซินโดรมได้อย่างไร?

A: พิลาทิสเป็นการออกกำลังกายที่เน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวและการหายใจ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการนั่งทำงานนาน ปรับบุคลิกภาพ และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

Q: “พิลาทิสต่างจากโยคะอย่างไร?

A: แม้ทั้งพิลาทิสและโยคะจะเน้นการควบคุมลมหายใจ แต่พิลาทิสมุ่งเน้นการเคลื่อนไหวแบบไดนามิก เสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง ในขณะที่โยคะเน้นการยืดเหยียดและสมาธิผ่านการคงท่า

Q: “เล่นพิลาทิสที่ออฟฟิศได้ไหม?

A: เล่นพิลาทิสที่ออฟฟิศได้ โดยเลือกท่าพื้นฐานที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มาก เช่น ท่า Spine Twist หรือ Cat Stretch ใช้เวลาเพียง 5-10 นาทีต่อครั้ง สามารถทำระหว่างพักงานได้

Q: “อุปกรณ์พิลาทิสที่จำเป็นมีอะไรบ้าง?

A: อุปกรณ์พื้นฐานคือเสื่อพิลาทิส สำหรับรองพื้น ห่วงพิลาทิสสำหรับเพิ่มแรงต้าน และยางยืดสำหรับเสริมความแข็งแรง

Q: “เล่นพิลาทิสกี่ครั้งถึงเห็นผล?

A: ควรเล่นพิลาทิส 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30-45 นาที จะเห็นผลชัดเจนใน 4-6 สัปดาห์

Q: “พิลาทิสช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม?

A: พิลาทิสช่วยลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะการลดพุง และลดต้นขา เพราะเป็นการออกกำลังกายที่เผาผลาญพลังงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อไปพร้อมกัน

Q: “ห่วงพิลาทิสช่วยอะไรได้บ้าง?

A: ห่วงพิลาทิสช่วยเพิ่มแรงต้านในการออกกำลังกาย เน้นลดต้นขา กระชับสัดส่วน และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง

Q: “มือใหม่ควรเริ่มเล่นพิลาทิสอย่างไร?

A: มือใหม่ควรเริ่มจากท่าพื้นฐานบนเสื่อพิลาทิส เน้นการหายใจและการควบคุมร่างกาย ฝึกท่าละ 5-10 นาที และค่อยๆ เพิ่มความยาก

Q: “เล่นพิลาทิสแล้วปวดหลังต้องทำอย่างไร?

A: หากรู้สึกปวดหลังระหว่างเล่นพิลาทิส ให้หยุดทันที ตรวจสอบท่าทางให้ถูกต้อง และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับเทคนิคการเล่นให้เหมาะสม

สรุป

การเล่นพิลาทิสเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนทำงานออฟฟิศที่ต้องการบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม ด้วยการเน้นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง ควบคู่กับการหายใจ พิลาทิสจึงไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย แต่ยังช่วยลดพุง ลดต้นขา และปรับบุคลิกภาพให้ดีขึ้น

เริ่มต้นฝึกพิลาทิสไม่ยาก เพียงแค่มีเสื่อพิลาทิสหรือห่วงพิลาทิส ก็สามารถฝึกได้ที่บ้านหรือที่ทำงาน การฝึกอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีจะช่วยให้คุณห่างไกลจากอาการออฟฟิศซินโดรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *