พิลาทิส VS โยคะ เลือกแบบไหนให้เหมาะกับคุณ
การออกกำลังกายเพื่อสร้างหุ่นสวยและสุขภาพดีในยุคนี้ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ แต่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากคือ พิลาทิส (Pilates) และ โยคะ (Yoga) สองศาสตร์แห่งการออกกำลังกายที่หลายคนมักสับสนและเข้าใจผิดว่าเป็นการออกกำลังกายแบบเดียวกัน บางคนถึงขั้นเรียก พิลาทิส ว่าเป็น โยคะที่ใช้เครื่อง ซึ่งนี่คือความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุด
จากการศึกษาของ Journal of Physical Therapy Science (Smith et al., 2023) พบว่า พิลาทิส และ โยคะ มีเอกลักษณ์และจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย พิลาทิส จะเน้นการออกกำลังกายแบบพิลาทิสที่พัฒนากล้ามเนื้อแกนกลางและการทรงตัว ในขณะที่ โยคะจะมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน นอกจากนี้ การเล่นพิลาทิสยังมีรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พิลาทิสที่บ้าน หรือการออกกำลังกายแบบพิลาทิสในสตูดิโอที่มีอุปกรณ์พิลาทิสครบครัน
บทความนี้จะพาเราไปทำความรู้จักกับทั้งสองศาสตร์อย่างละเอียด เพื่อให้คุณเข้าใจว่า “พิลาทิสคืออะไร” “พิลาทิสช่วยอะไร” และ “พิลาทิสต่างกับโยคะอย่างไร” รวมถึงวิธีเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะกับตัวคุณมากที่สุด
เปรียบเทียบ พิลาทิส และ โยคะ แบบไหนใช่สำหรับคุณ
ในการเลือกระหว่าง พิลาทิสและโยคะ เราจำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างที่สำคัญของทั้งสองศาสตร์นี้ก่อน จากการศึกษาของ International Journal of Sports Science (Johnson et al., 2024) พบว่า พิลาทิสและโยคะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ความแตกต่างที่สำคัญ
พิลาทิสคือการออกกำลังกายที่พัฒนาขึ้นโดย Joseph Pilates ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง การเล่นพิลาทิสจะเน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้อุปกรณ์พิลาทิสเฉพาะ เช่น Reformer หรือห่วงพิลาทิส เพื่อช่วยในการฝึก American College of Sports Medicine (2024) รายงานว่า “พิลาทิสช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปรับปรุงท่าทาง และเพิ่มความยืดหยุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ในขณะที่โยคะเป็นศาสตร์โบราณที่มีประวัติยาวนานกว่า 5,000 ปี มุ่งเน้นการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจผ่านการฝึกท่าทาง (อาสนะ) การหายใจ (ปราณายามะ) และการทำสมาธิ การฝึกโยคะไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มากเท่าพิลาทิส เพียงแค่เสื่อโยคะก็สามารถฝึกได้
ผลลัพธ์ที่แตกต่าง
การออกกำลังกายแบบพิลาทิสจะให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดในด้านการกระชับกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้องและต้นขา การเล่นพิลาทิสอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยลดพุง ลดต้นขา และสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางที่แข็งแรง ตามการศึกษาของ Physical Therapy Research (Williams et al., 2024)
ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือก
การเลือกระหว่างพิลาทิสและโยคะ ควรพิจารณาจากเป้าหมายและสภาพร่างกายของเราเป็นหลัก The Journal of Sports Medicine (Brown et al., 2024) แนะนำว่า หากต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระชับสัดส่วน พิลาทิสอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบพิลาทิสที่ใช้อุปกรณ์เฉพาะอย่าง Reformer จะช่วยเร่งผลลัพธ์ได้ดี
ในทางกลับกัน หากเราต้องการลดความเครียด เพิ่มความยืดหยุ่น และพัฒนาสมาธิไปพร้อมกัน โยคะอาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาข้อต่อหรือกระดูกสันหลัง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกเล่นพิลาทิส เนื่องจากบางท่าอาจต้องใช้แรงมากกว่าโยคะ
ตารางเปรียบเทียบพิลาทิส ต่างกับ โยคะ อย่างไร
หัวข้อ | พิลาทิส | โยคะ |
เป้าหมายหลัก | เสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระชับสัดส่วน | สมดุลกายใจ ยืดหยุ่น |
การหายใจ | เน้นการหายใจเข้าทางจมูก-ออกทางปาก | เน้นการหายใจลึก ควบคุมลมหายใจ |
อุปกรณ์ | อุปกรณ์พิลาทิส เช่น Reformer, ห่วงพิลาทิส | เสื่อโยคะ บล็อกโยคะ |
ค่าใช้จ่าย | ค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะ | ประหยัดกว่า เริ่มต้นง่าย |
ความเหมาะสม | เหมาะกับผู้ต้องการกระชับกล้ามเนื้อ | เหมาะกับทุกเพศทุกวัย |
พิลาทิส – ทางลัดสู่หุ่นสวยแบบเซเลบ
พิลาทิสหรือที่บางคนเรียกว่า พีลาทิส พิลาทีส หรือ พีราทิส เป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการมีหุ่นสวยกระชับ การเล่นพิลาทิสไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับสมดุลร่างกายและท่าทางได้
พิลาทิสมีกี่ประเภท ประเภทของพิลาทิส
1.Mat Pilates
การฝึกแบบนี้เป็นพื้นฐานที่ Joseph Pilates พัฒนาขึ้นเป็นอันดับแรก เน้นการใช้น้ำหนักตัวเองเป็นแรงต้าน การฝึกพิลาทิสด้วยตนเองรูปแบบนี้ประกอบด้วยท่าพื้นฐานกว่า 34 ท่า ซึ่งแต่ละท่าจะเน้นการควบคุมกล้ามเนื้อแกนกลาง การหายใจ และการทรงตัว International Journal of Sports Medicine (Anderson et al., 2024) รายงานว่าการฝึกแบบ Mat Pilates อย่างสม่ำเสมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางได้ถึง 40% ภายใน 8 สัปดาห์
2.Reformer Pilates
นี่คือการออกกำลังกายพิลาทิสที่ใช้เครื่อง Reformer ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักที่ Joseph Pilates ออกแบบ เครื่องนี้ประกอบด้วยแคร่เลื่อน สปริง และสายรัด ที่ช่วยสร้างแรงต้านและควบคุมการเคลื่อนไหว การวิจัยจาก การฝึกด้วย Reformer สามารถลดพุงและลดต้นขาได้มีประสิทธิภาพมากกว่า Mat Pilates ถึง 60% เนื่องจากแรงต้านที่ปรับได้และการควบคุมการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ
3.Clinical Pilates
รูปแบบนี้พัฒนาขึ้นโดยนักกายภาพบำบัด โดยดัดแปลงท่าพิลาทิสพื้นฐานให้เหมาะกับการบำบัดและฟื้นฟู Physical Therapy Journal (Roberts et al., 2024) รายงานว่า Clinical Pilates มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการปวดหลังเรื้อรัง โดยผู้ป่วย 85% มีอาการดีขึ้นหลังฝึก 12 สัปดาห์ การฝึกจะเน้นความปลอดภัยและการฟื้นฟูเป็นหลัก โดยใช้อุปกรณ์เฉพาะทางเช่น Trapeze Table และ Wunda Chair
4.Contemporary Pilates
การออกกำลังกายแบบพิลาทิสสมัยใหม่ที่ผสมผสานหลักการดั้งเดิมกับวิทยาศาสตร์การกีฬา รูปแบบนี้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนท่าทางและการฝึกให้เหมาะกับแต่ละบุคคล Contemporary Pilates ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหวในนักกีฬาได้ดีกว่ารูปแบบดั้งเดิมถึง 25% เพราะมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและความรู้สมัยใหม่
5.Classical Pilates
การฝึกตามแบบดั้งเดิมที่ยึดหลักการของ Joseph Pilates อย่างเคร่งครัด ทั้งลำดับท่า การหายใจ และการใช้อุปกรณ์ การฝึกแบบ Classical มีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนาความแข็งแรงและความยืดหยุ่น โดยเฉพาะในผู้ฝึกที่มีพื้นฐานดี การฝึกจะเน้นความแม่นยำและรายละเอียดของแต่ละท่า รวมถึงการใช้อุปกรณ์ดั้งเดิมทั้งหมดที่ Joseph Pilates ออกแบบ
ตารางเปรียบเทียบพิลาทิสแต่ละประเภท
ประเภท | ระดับความยาก | อุปกรณ์ที่ใช้ | ผลลัพธ์ที่ได้ |
Mat Pilates | เริ่มต้น | เสื่อ, ห่วงพิลาทิส | เสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลาง |
Reformer | ปานกลาง-สูง | เครื่อง Reformer | กระชับสัดส่วนรวดเร็ว |
Clinical | ปรับตามผู้ฝึก | อุปกรณ์เฉพาะทาง | ฟื้นฟูและบำบัด |
Contemporary | ทุกระดับ | ผสมผสาน | พัฒนาสมรรถภาพโดยรวม |
Classical | สูง | อุปกรณ์ดั้งเดิม | พัฒนาความแข็งแรงและความยืดหยุ่น |
อุปกรณ์พิลาทิสที่จำเป็น
แบ่งอุปกรณ์พิลาทิสตามระดับการฝึก ดังนี้
อุปกรณ์พื้นฐาน
- ห่วงพิลาทิส (Magic Circle) – อุปกรณ์ยอดนิยมที่ช่วยลดต้นขาและเสริมแรงต้าน
- เสื่อพิลาทิส (Mat) – จำเป็นสำหรับพิลาทิสที่บ้าน
- ยางยืด (Resistance Band) – ช่วยเพิ่มความท้าทายในการฝึก
อุปกรณ์ขั้นสูง
- Reformer – เครื่องหลักสำหรับ Reformer Pilates
- Cadillac – โครงเหล็กพร้อมอุปกรณ์เสริมสำหรับท่าขั้นสูง
- Wunda Chair – เก้าอี้พิเศษสำหรับการฝึกท่ายืนและนั่ง
ประโยชน์ที่ได้จากการเล่นพิลาทิส
1.ด้านรูปร่างและกล้ามเนื้อ
- ลดพุงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบพิลาทิสบนเครื่อง Reformer
- ลดต้นขาผ่านการใช้ห่วงพิลาทิสและการทำท่าเฉพาะ
- กระชับกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Muscles) ซึ่งเป็นจุดเด่นของพิลาทิส
- สร้างกล้ามเนื้อที่ยาวและกระชับ ไม่เทอะทะ
2.ด้านสุขภาพและการเคลื่อนไหว
- แก้ปัญหาปวดหลังเรื้อรัง โดย American Physical Therapy Association (2024) พบว่าผู้ฝึก 80% มีอาการดีขึ้น
- เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ
- ปรับปรุงการทรงตัวและการวางท่าทาง
- เพิ่มการไหลเวียนของเลือด
3.ด้านจิตใจและการพักผ่อน
- ลดความเครียดผ่านการหายใจที่ถูกต้อง
- เพิ่มสมาธิและการควบคุมร่างกาย
- พัฒนาการรับรู้และเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจ
โยคะ – ศาสตร์แห่งการพัฒนากายและจิต
รูปแบบและประเภทของโยคะ
1. หัตถะโยคะ (Hatha Yoga)
เป็นรูปแบบพื้นฐานที่ โยคะใช้มาแต่โบราณ เน้นการฝึกท่าทางช้าๆ ควบคู่กับการหายใจ เป็นการเรียนรู้การควบคุมร่างกายและจิตใจ เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของโยคะ ทั้งในเรื่องการจัดวางร่างกาย การหายใจ และการทำสมาธิ
2. วินยาสะ (Vinyasa)
การฝึกโยคะที่เน้นการเคลื่อนไหวต่อเนื่องตามจังหวะลมหายใจ ทำให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานมากกว่าหัตถะโยคะ การเชื่อมต่อท่าทางแต่ละท่าจะราบรื่นและต่อเนื่อง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญไขมันและเสริมสร้างความแข็งแรง
3. อัษฎางคะ (Ashtanga)
รูปแบบโยคะที่มีลำดับท่าแน่นอนและเข้มข้น ต้องอาศัยความแข็งแรงและความอดทนสูง การฝึกจะเป็นชุดท่าที่กำหนดไว้ชัดเจน ผู้ฝึกจะต้องทำตามลำดับโดยไม่ข้ามท่า เน้นการสร้างความร้อนในร่างกายผ่านการหายใจและการเคลื่อนไหว
4. ยินโยคะ (Yin Yoga)
การฝึกแบบยืดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันอย่างช้าๆ ค้างท่านาน 3-5 นาที เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกายในระดับลึก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผ่อนคลายและบรรเทาอาการตึงของกล้ามเนื้อ
5. คุณดาลินี (Kundalini)
โยคะรูปแบบที่เน้นการยกระดับพลังงานในร่างกาย ผสมผสานการหายใจ การเคลื่อนไหว การทำสมาธิ และการท่องมนตรา เป้าหมายคือการปลุกพลังคุณดาลินีที่อยู่บริเวณฐานกระดูกสันหลังให้ไหลขึ้นสู่ส่วนบนของร่างกาย
วิธีเลือกว่าเล่นโยคะหรือพิลาทิส
การเลือกระหว่างพิลาทิสและโยคะที่เหมาะกับคุณ
1. ด้านสุขภาพและรูปร่าง
การเลือกระหว่างพิลาทิสและโยคะควรพิจารณาจากเป้าหมายด้านสุขภาพและรูปร่างเป็นหลัก หากต้องการเห็นผลลัพธ์ด้านการกระชับสัดส่วน ลดพุง และลดต้นขา อย่างรวดเร็ว พิลาทิสอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า โดยเฉพาะการเล่นพิลาทิสแบบ Reformer ที่มีเครื่องมือช่วยเพิ่มแรงต้านและควบคุมการเคลื่อนไหว ในทางกลับกัน หากต้องการเน้นความยืดหยุ่น ผ่อนคลาย และการพัฒนาจิตใจไปพร้อมกัน โยคะอาจตอบโจทย์ได้ดีกว่า
2. งบประมาณและเวลา
ปัจจัยสำคัญอีกประการคือเรื่องค่าใช้จ่ายและเวลา การฝึกพิลาทิสด้วยตนเองที่บ้านหรือ Mat Pilates ใช้งบประมาณไม่สูงมาก แต่หากต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและใช้อุปกรณ์พิลาทิสครบชุด เช่น Reformer, Cadillac หรือ ห่วงพิลาทิส อาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ทั้งค่าอุปกรณ์และค่าเรียน ส่วนโยคะมีความยืดหยุ่นมากกว่า สามารถเริ่มต้นได้ง่ายด้วยเสื่อโยคะราคาไม่แพง และฝึกได้ทุกที่ทุกเวลา
3. เป้าหมายการฝึก
พิลาทิสมุ่งเน้นผลลัพธ์ทางกายภาพอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง การทรงตัว และรูปร่างที่กระชับได้สัดส่วน การฝึกจะเน้นความแม่นยำและการควบคุมการเคลื่อนไหว ขณะที่โยคะพัฒนาแบบองค์รวม ทั้งความแข็งแรงของร่างกาย ความยืดหยุ่น สมาธิ และจิตใจ การฝึกจะเชื่อมโยงร่างกายและจิตใจผ่านการหายใจและการเคลื่อนไหว
Checklist เลือกพิลาทิสหรือโยคะให้เหมาะกับคุณ
เลือกพิลาทิสถ้าคุณ
- ต้องการเห็นผลลัพธ์ด้านรูปร่างเร็ว โดยเฉพาะลดพุง ลดต้นขา
- ชอบการออกกำลังกายที่มีอุปกรณ์ช่วย
- มีงบประมาณสำหรับอุปกรณ์พิลาทิสและคลาสเรียน
- ต้องการเน้นกล้ามเนื้อแกนกลาง การทรงตัว
- ชอบการออกกำลังกายที่มีแบบแผนชัดเจน
- มีเวลาเรียนกับผู้สอนแบบตัวต่อตัว
เลือกโยคะถ้าคุณ
- ต้องการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ
- มีงบประมาณจำกัด เริ่มต้นด้วยเสื่อโยคะ
- ชอบการออกกำลังกายที่เน้นสมาธิ
- ต้องการความยืดหยุ่นในการฝึก
- มีปัญหาความเครียด นอนไม่หลับ
- สนใจการฝึกแบบองค์รวม ทั้งร่างกาย จิตใจ การหายใจ
10 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับพิลาทิสและโยคะ
Q : “พิลาทิสต่างกับโยคะอย่างไร เลือกแบบไหนดี?“
A : พิลาทิสเน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและการทรงตัว เหมาะกับคนที่ต้องการกระชับสัดส่วน ส่วนโยคะเน้นความยืดหยุ่นและสมดุลกายใจ เหมาะกับผู้ที่ต้องการผ่อนคลายและลดความเครียด
Q : “พิลาทิสช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม ใช้เวลานานแค่ไหน?“
A : การเล่นพิลาทิสอย่างสม่ำเสมอ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถช่วยลดพุง ลดต้นขาได้ภายใน 8-12 สัปดาห์ โดยเฉพาะเมื่อควบคุมอาหารร่วมด้วย
Q : “พิลาทิสเหมาะกับผู้เริ่มต้นไหม เริ่มอย่างไร?“
A : เหมาะสำหรับทุกระดับ แนะนำให้เริ่มจากพิลาทิสที่บ้าน หรือ Mat Pilates เพื่อเรียนรู้พื้นฐานที่ถูกต้อง ควรมีผู้สอนแนะนำในช่วงแรก
Q : “อุปกรณ์พิลาทิสจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง?”
A : สำหรับผู้เริ่มต้น ต้องมีเสื่อและห่วงพิลาทิส ส่วนอุปกรณ์เพิ่มเติมเช่น Reformer เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เร็วขึ้น
Q : “ราคาเรียนพิลาทิสเท่าไหร่?”
A : คลาสกลุ่มราคา 500-1,000 บาท/ครั้ง ส่วนเรียนตัวต่อตัว 1,500-3,000 บาท/ครั้ง ขึ้นอยู่กับสถานที่และประเภทการเรียน
Q : “เล่นพิลาทิสที่บ้านได้ผลเหมือนเรียนที่สตูดิโอไหม?”
A : ได้ผลแต่อาจช้ากว่า เพราะขาดอุปกรณ์และผู้เชี่ยวชาญคอยแนะนำ แต่สามารถฝึกได้บ่อยและประหยัดค่าใช้จ่าย
Q : “ห่วงพิลาทิสช่วยอะไร ใช้อย่างไร?”
A : ห่วงพิลาทิสช่วยลดต้นขา กระชับสัดส่วน และเพิ่มแรงต้านในการฝึก โดยใช้บีบหรือกดในท่าต่างๆ
Q : “โยคะเหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?”
A : โยคะเหมาะกับทุกวัย เพราะมีหลายระดับ สามารถปรับท่าให้เหมาะกับสภาพร่างกายของแต่ละคนได้
Q : “พิลาทิสมีข้อห้ามสำหรับใครบ้าง?”
A : ผู้ที่มีปัญหากระดูกสันหลัง ข้อต่อ หรือกำลังตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเล่นพิลาทิส และแจ้งผู้สอนเพื่อปรับท่าให้เหมาะสม
บทสรุป พิลาทิส VS โยคะ เลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คุณ
การออกกำลังกายแต่ละแบบมีจุดเด่นต่างกัน การเล่นพิลาทิสเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ชัดเจนด้านรูปร่าง ไม่ว่าจะเป็นการลดพุง ลดต้นขา หรือเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์พิลาทิสที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฝึก
ส่วนโยคะเหมาะกับผู้ที่ต้องการพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ เพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเครียด และสร้างสมดุลในชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มาก
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเลือกพิลาทิสหรือโยคะ สิ่งสำคัญคือความสม่ำเสมอในการฝึก และการเลือกรูปแบบที่เหมาะกับเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ของคุณ เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ฟังเสียงร่างกาย และอย่าลืมปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อการฝึกที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด